วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ซีแอนด์จีฯ ร่วมประชุมสุดยอดซีอีโอแห่งภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก 2022 (APEC CEO SUMMIT 2022) ตั้งเป้าสานต่อนโยบายดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างยั่งยืน

 

               นายเหอ หนิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีแอนด์จี เอ็นไวรอนเมนทอล โปรเท็คชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินการโรงกำจัดขยะผลิตไฟฟ้าเพื่อสิ่งแวดล้อมหนองแขม เข้าร่วมประชุมสุดยอด
ซีอีโอแห่งภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก 2022 หรือ APEC CEO SUMMIT 2022 เมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งในการประชุมได้มีการหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างนักธุรกิจชั้นนำของเอเปคจาก 21 เขตเศรษฐกิจ โดยมีผู้นำ และบุคคลสำคัญระดับโลกทั้งจากภาครัฐ และเอกชนร่วมประชุมและหารือความร่วมมือในด้านต่างๆ อันจะนำไปสู่การส่งเสริมการเปิดเขตเสรีการค้าและการลงทุน รวมถึงความร่วมมือด้านสังคมและการพัฒนาในทุกมิติในอนาคต

              บริษัทฯและบริษัทในเครือ ดำเนินการภายใต้รัฐวิสาหกิจจีน มีความพร้อมและมุ่งมั่นในการสานต่อนโยบาย นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้แสดงจุดยืน ในงานประชุมเอเปค 2022 โดยจีนให้การสนับสนุนการดำเนินการตามเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการปกป้องระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างประสานกันทำให้เอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่ทุกฝ่ายช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

              โดยบริษัท และบริษัทในเครือ พร้อมที่จะเป็นต้นแบบโครงการกำจัดขยะเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่มีการบริหารจัดการโดยคำนึงถึงหลักธรรมาภิบาล ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามมาตรฐานการประกอบอุตสาหกรรม ทั้งในประเทศไทยและระดับสากลในด้านต่างๆ ทั้งมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยในการดำเนินงาน ความรับผิดชอบต่อสังคมและหลักมนุษยธรรมตลอดจนให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน สังคม ควบคู่ไปกับการกำจัดขยะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

               บริษัท ซีแอนด์จี เอ็นไวรอนเมนทอล โปรเท็คชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ดำเนินการโรงกำจัดขยะผลิตไฟฟ้าเพื่อสิ่งแวดล้อมหนองแขมขนาด 500 ตัน/วัน ขณะนี้บริษัทฯและบริษัทในเครือ มีแผนจะพัฒนาโครงการกำจัดมูลฝอยด้วยวิธีการเผาไหม้เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าอีก 2 แห่ง ณ ศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขม และอ่อนนุช ขนาดแห่งละ 1,000 ตัน/วัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการขออนุญาตในการดำเนินการและเตรียมความพร้อมในการก่อสร้าง

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

โครงการ “เติมชีวิตด้วยการให้” มอบของขวัญเพื่อความหวัง กับมูลนิธิศุภนิมิตฯ

 

          วิกฤตต่าง ๆ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด ภัยพิบัติน้อยใหญ่ รวมถึงสถานการณ์จากภายนอกประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ แม้ในปีนี้วิกฤตดังกล่าวจะค่อย ๆ คลี่คลายลงตามลำดับ แต่ยังคงทิ้งร่องรอยของผลกระทบที่เกิดขึ้นเอาไว้ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย จึงได้จัดทำ โครงการ “เติมชีวิตด้วยการให้” เพื่อมอบของขวัญแสนพิเศษ คืนชีวิต และฟื้นฟูความหวัง ให้กับสังคมไทย   

          ดร.สราวุธ ราชศรีเมือง ผู้อำนวยการมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า  มูลนิธิ  ศุภนิมิตฯ ในฐานะองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ระดับดีเด่น ประจำปี 2565 (Human Rights Awards 2022) ประเภทภาคประชาสังคม ได้จัดทำโครงการ “เติมชีวิตด้วยการให้” เพื่อเป็นการส่งมอบของขวัญ ที่ตรงกับความต้องการของผู้รับมากที่สุด โดยมูลนิธิฯ ได้ทำการสำรวจความต้องการ และความจำเป็นของ เด็ก ครอบครัว และชุมชน จากกลุ่มเป้าหมายใน 22 โครงการ 41 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยที่มูลนิธิฯ ดำเนินงานอยู่ เพื่อจัดทำแคมเปญนี้ให้มีประสิทธิภาพ และสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงได้

          “คริสต์มาสปีนี้ หนูอยากได้ตุ๊กตาสีชมพูกับอุปกรณ์การเรียนเป็นของขวัญค่ะ ตุ๊กตาหนูจะเก็บเอาไว้เล่นกับน้องของหนู ส่วนอุปกรณ์การเรียน หนูจะเอาไว้ใช้ตอนไปเรียนหนังสือ” น้องปีใหม่, อายุ 6 ปี เด็กในความอุปการะของมูลนิธิฯ

          “แม้เทศกาลแห่งความสุข การเฉลิมฉลอง และการให้ กำลังใกล้เข้ามา แต่มีคนอีกเป็นจำนวนมากที่กำลังดิ้นรน และใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ของขวัญที่ดีที่สุด คือสิ่งจำเป็นที่ผู้รับต้องการ และสามารถนำไปใช้เพื่อฟื้นฟูความหวัง และคืนชีวิตให้กลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววัน  โครงการ “เติมชีวิตด้วยการให้” นี้  จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะส่งมอบความสุข คืนชีวิต ฟื้นฟูความหวัง สร้างกำลังใจ ผ่านของขวัญที่มูลนิธิฯ ได้รวบรวมทั้งหมด 3 ชุด  ผมอยากเชิญชวนให้ทุกท่านที่มีภาระใจ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะมอบของขวัญเหล่านี้ เพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ คืนชีวิต ฟื้นฟูความหวัง และยังช่วยพัฒนาชีวิตเด็ก ครอบครัว และชุมชนเปราะบางยากไร้  จนถึงการลดปัญหาในชุมชนได้อย่างยั่งยืน” ดร.สราวุธ กล่าว  

          โดยของขวัญแสนพิเศษทั้ง ชุด ประกอบไปด้วย  

               1. ของขวัญแสนพิเศษเพื่อน้อง ๆ หนู ๆ เล่นและเรียนรู้ สู่พัฒนาการสมวัย

               2. ของขวัญแสนพิเศษเพื่อเยาวชนคนขยัน สานฝันสู่อนาคตที่สดใส

               3. ของขวัญแสนพิเศษเพื่อครอบครัวและชุมชน พลิกความขัดสน สู่ความอยู่ดีมีสุข

          ท่านสามารถร่วมมอบของขวัญเหล่านี้ให้กับเด็ก ครอบครัว และชุมชนเปราะบางยากไร้ได้ เพื่อให้พวกเขาเหล่านี้ สามารถคืนชีวิต และฟื้นฟูความหวังได้ ด้วยการคลิก เติมชีวิตด้วยการให้ – มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย (worldvision.or.th)

          ทั้งนี้ มูลนิธิศุภนิมิตฯ ยังมีความมุ่งมั่นดำเนินพันธกิจเพื่อความหวัง ความสุข และความยุติธรรมของเด็กทุกคน เปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กเปราะบางยากไร้สู่ความอยู่ดีมีสุข ทั้งด้านสุขภาพ อนามัย ความปลอดภัยในชีวิต ส่งเสริมการศึกษาเพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ การเรียนรู้ พัฒนาครอบครัวและชุมชนของเด็กเปราะบางให้มีความมั่นคงด้านอาชีพ พึ่งพาตนเองได้ รวมถึงส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็ก เยาวชน ครอบครัว ชุมชน อาสาสมัคร และระดมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการร่วมสร้างความอยู่ดีมีสุขแก่เด็ก รวมถึงการสนับสนุนกลุ่มแรงงานต่างชาติให้สามารถเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพ และสิทธิด้านต่างๆ ทั้งหมดคือการแก้ไขรากของปัญหา เป็นการดำเนินงานเพื่อเสริมพลัง สร้างความเข้มแข็ง ส่งเสริมให้เด็ก ครอบครัว ชุมชน และกลุ่มเปราะบางได้รับโอกาสและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทรศัพท์ 0-2022-9200 ถึง 2 หรือ อีเมล Info@worldvision.or.th  LINE: @worldvision-thai และสามารถดูรายละเอียดแคมเปญเพิ่มเติมได้ที่ http://www.worldvision.or.th

          สอบถามข้อมูลข่าวประชาสัมพันธ์ ติดต่อ คุณวิภาวี ริ้วสุวรรณ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย 08-1494-5498

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

บัญชี จุฬาฯ จัดมอบรางวัล “สุดยอดแบรนด์ทรงพลัง“ The Most Powerful Brands of Thailand 2022

 

รองศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CBS) เคลียร์คิวด่วนๆ ให้กับงานยิ่งใหญ่แห่งปี “สุดยอดแบรนด์ทรงพลัง”The Most Powerful Brands of Thailand 2022 ซึ่งภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ได้ทำขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อประกาศผลสุดยอดแบรนด์ทรงพลัง ให้แก่ผู้บริหารสุดยอดแบรนด์ทรงพลัง เป็นรางวัลแห่งเกียรติยศ จากงานวิจัยที่มีตัวอย่างมากที่สุด ครอบคลุม 30 กลุ่มผลิตภัณฑ์ มีความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือตามหลักวิชาการอย่างแท้จริง ในปีนี้ได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้เกียรติเป็นประธานมอบรางวัล ภายในงานมีการบรรยายหัวข้อ “THE POWERFUL ECOSYSYSTEM FOR BRANDING” โดย รศ.ดร.วิเลิศ  ภูริวัชร คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ รศ.ม.ล. สาวิกา อุณหนันท์ รองประธานหลักสูตร MBM และการอธิบายวิธีวิจัยและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้ได้มาซึ่งแบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดของประเทศ โดย ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด และ รศ.ดร.ณัฐพล อัสสะรัตน์ หัวหน้าโครงการวิจัย ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 เวลา 9.00-11.00 น.ห้อง 111 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“เครือ รพ.พญาไท-เปาโล” เดินหน้ายกระดับธุรกิจสุขภาพสู่ Digital Healthcare Provider เต็มรูปแบบ เพื่อส่งมอบการดูแลสุขภาพทุกไลฟ์สไตล์ ผ่านทุกแพลตฟอร์มอย่างไร้รอยต่อ

 

               (18 พฤศจิกายน 2565: กรุงเทพฯ) เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล ทรานสฟอร์มธุรกิจสุขภาพสู่ Digital Healthcare Provider เต็มรูปแบบ ดึงจุดแข็งจากทุกแพลตฟอร์ม พัฒนาระบบการบริการ ด้านสุขภาพ ให้สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้สะดวก รวดเร็ว ไร้รอยต่อ ตอบโจทย์ ทุกความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่มได้อย่างครอบคลุม นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการนำเทคโนโลยี มาผสานกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล พลิกโฉมภาพลักษณ์ของการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยให้ก้าวสู่ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมจัดงาน “The New Era Of Digital Health ร่วมเป็นผู้นำสู่วิถีใหม่ของการดูแลสุขภาพยุคดิจิทัล” ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 18 – วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2565 ณ ลาน A ชั้น 3 ศูนย์การค้าสยามสแควร์ วัน

               นายศุภกร พะวันนา ผู้อำนวยการสายการตลาดเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล เปิดเผยว่า ในช่วง ตลอดระยะเวลาที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้คน หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองในช่วงโควิดอย่างจริงจัง การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสุขภาพทำได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ประชาชนให้ความสำคัญกับสินค้าด้านสุขภาพมากขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมการแพทย์ ต่างต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน โดยเทคโนโลยีดิจิทัลนับว่าเข้ามามีบทบาทและเป็นปัจจัยหลักในการช่วยสนับสนุนต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่งในส่วนของเครือโรงพยาบาล พญาไท-เปาโล เล็งเห็นถึงความสำคัญของ Digital Healthcare และนวัตกรรมใหม่ๆ จึงมุ่งพัฒนาสินค้าและบริการเดินหน้าเข้าสู่ Digital Healthcare Provider อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ต่อทุกความต้องการ ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกกลุ่มผู้บริโภคให้มีสุขภาพแข็งแรงอย่างยั่งยืน

               “มีผลสำรวจเรื่องเทรนด์สุขภาพล่าสุด พบว่ากลุ่มคน Gen Y หรือกลุ่มมิลเลนเนียลที่อายุประมาณ 22 – 40 ปี และกลุ่มอายุช่วง 40 – 49 ปี จะให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้นอย่างชัดเจน เพราะอายุมากขึ้นยิ่งต้องดูแลตัวเอง หากสุขภาพไม่ดีอาจมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามมา ส่งผลต่อสุขภาพจิตทำให้ทุกอย่างแย่ไปด้วย เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล จึงได้มีการนำ Digital Engagement Model เข้ามาปรับใช้ในสินค้าและบริการ เพื่อให้สามารถเข้าใจถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค องค์กรให้ความสำคัญกับการเก็บข้อมูล (Data) ซึ่งเป็นหัวใจหลัก ในการทำ ‘Hyper Personalization’ เนื่องจากมีความจำเป็นต้องใช้ข้อมูลต่างๆ มาประกอบการวิเคราะห์ข้อมูล ของแต่ละบุคคล เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาตรงกลุ่มเป้าหมาย เป็นประโยชน์กับลูกค้ามากที่สุด นอกจากนี้ข้อมูลด้านการรักษาของผู้เข้าใช้บริการ โรงพยาบาลฯ คำนึงถึงการรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือ PDPA เป็นสำคัญ เรามีทีมทำ Futuristic Data ที่สามารถนำข้อมูลเชิงบุคคลมาช่วยวิเคราะห์ วางแผนโปรแกรมการดูแลรักษาแบบ Human Touch Service มุ่งเน้นเรื่องการส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Healthcare) ลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยทำให้เสียค่าใช้จ่ายในด้านการรักษาโรคที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ยิ่งได้ข้อมูลมากเท่าไรก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าใช้บริการ ที่จะได้รับคำแนะนำด้านสุขภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค สามารถออกแบบโปรแกรมตรวจสุขภาพ ให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลได้ เช่น โปรแกรมตรวจสุขภาพ All You Can Check เป็นต้น”

               นอกจากนี้ เครือโรงพยาบาลฯ ยังได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพให้กับกลุ่มคนทำงานในระดับองค์กรต่างๆ เช่น โครงการ Let’s Get Healthy ที่นอกจากให้บริการตรวจสุขภาพให้กับพนักงานแล้วยังมีการนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ความจำ การนอน การรับประทานอาหาร ฯลฯ มาวิเคราะห์ประเมินถึง ภาวะสุขภาพของพนักงานและช่วยออกแบบโปรแกรมสุขภาพที่เหมาะสมเป็นรายบุคคล ถือเป็นการยกระดับ การดูแลสุขภาพให้พนักงานในองค์กรให้มีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการดูแลสุขภาพพนักงานได้อย่างคุ้มค่า และแม้ว่าเครือโรงพยาบาลฯ จะขับเคลื่อนธุรกิจเข้าสู่ระบบดิจิทัลด้วยการนำหุ่นยนต์ AI แอปพลิเคชันเข้ามาใช้ หากยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องการออกแบบการให้บริการโดยคำนึงถึงเรื่อง Human Touch เป็นหลัก เพราะเชื่อว่า ธุรกิจการให้บริการทางด้านสุขภาพของมนุษย์ต้องเริ่มจากมนุษย์ การออกแบบเส้นทางสุขภาพที่ดีให้กับผู้รับบริการ (Health Journey) ต้องเริ่มจากความเข้าใจของมนุษย์ต่อมนุษย์ คือ บุคลากรทางการแพทย์ทั้ง หน้างานและเบื้องหลังที่เข้าใจและตั้งใจที่จะออกแบบการให้บริการสุขภาพที่ดีนั้นส่งต่อไปยังคนไข้ให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ โดยมีเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนให้เข้าถึงและสะดวกเพิ่มมากขึ้น

               นายศุภกร กล่าวต่อไปว่า “เรายังสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคผ่านการใช้ Digital Health Solution Service เช่น ข้อมูลสุขภาพบน Health Content Library ของเครือโรงพยาบาลฯ ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มปัญหาสุขภาพ ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล ที่นับว่าเป็นการเปิดมิติใหม่ของการดูแลสุขภาพของคนไทย ให้สามารถเข้าถึงข้อมูลการดูแลสุขภาพได้ง่ายและบ่อยขึ้น และจากข้อมูลคลังสุขภาพออนไลน์ของเครือโรงพยาบาลฯ พบว่าสถิติของผู้เข้าอ่านบทความมีจำนวนมากถึง 100 ล้านครั้งต่อเดือน นั่นแสดงให้เห็นว่าคนไทยใส่ใจในสุขภาพเป็นอย่างมาก”

               ด้านผลิตภัณฑ์และบริการของเครือโรงพยาบาลฯ พญ.กอบกุลยา จึงประเสริฐศรี ผู้อำนวยการ ศูนย์พรีเมี่ยมไลฟ์ โรงพยาบาลพญาไท 2 กล่าวว่า “ด้านการบริการเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล มีการปรับตัวกันเป็นอย่างมาก จากในอดีตที่แพทย์จะเน้นเรื่องการรักษา แต่ปัจจุบันเราให้ความสำคัญในเรื่องการป้องกัน (Preventive Care) เปลี่ยนจากหมอผู้รักษาคนป่วยเป็น Health Coach ที่จะคอยให้คำแนะนำ และติดตามดูแลใกล้ชิดจนสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น โดยออกแบบโปรแกรมดูแลสุขภาพรูปแบบใหม่ที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ได้แก่ All You Can Check ที่จะคอยติดตามภาวะสุขภาพได้ตลอดทั้งปี มีทีมแพทย์ให้คำแนะนำวางแผนการดูแลสุขภาพ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตได้อย่างตรงจุด การตรวจร่างกายด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่ละเอียดและแม่นยำ ลดความเสี่ยงในอนาคตจากโรคต่างๆ นอกจากนี้ ยังมี All You Can Shine โปรแกรมตรวจสุขภาพเชิงลึกระดับ DNA ที่ช่วยในการวางแผนสุขภาพอนาคตด้วยเวชศาสตร์ชะลอวัย และ โปรแกรม All You Can Fits ตรวจความสมดุลและสมรรถภาพร่างกายรายบุคคล การปรับพฤติกรรม เพื่อแก้ไขสาเหตุอาการบาดเจ็บของร่างกาย โดยเฉพาะโรคออฟฟิศซินโดรม ที่เป็นกันมากในกลุ่มวัยทำงาน โดยจะมี Health Coach นักกายภาพคอยดูแลให้คำแนะนำ ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมการแพทย์ Urine CTX II ซึ่งเป็นงานวิจัยการเสื่อมสลายข้อเข่าด้วยการตรวจปัสสาวะ ทำให้สามารถรู้ถึงภาวะสุขภาพและวางแผนชะลอความเสื่อมได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งนี้ นอกเหนือจากการออกแบบโปรแกรมสุขภาพเพื่อให้ปลายทางไปสู่ความสำเร็จ ลูกค้ามีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนนั้น สิ่งสำคัญอีกประการคือ การมีส่วนร่วมของผู้ป่วยในการเปลี่ยนแปลงสุขภาพ ให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการมาพบแพทย์สม่ำเสมอ การดูแลตนเองตามคำแนะนำของแพทย์ หรือตามโปรแกรมอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น และนี่คือวิถีใหม่ในการดูแลสุขภาพร่วมกันในยุคดิจิทัล”

               ในขณะเดียวกัน นพ.ยงยุทธ มัยลาภ ประธานคณะอนุกรรมการสื่อสารเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล กล่าวว่า “เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโลให้ความสำคัญกับ Digital Healthcare เป็นอย่างมาก หลังจากที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเน้นส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม ควบคู่ไปกับการลงทุนพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อนำ Digital Healthcare มาพัฒนาระบบการให้บริการแก่ผู้รับบริการได้อย่างไร้รอยต่อ ผ่านบริการต่างๆ อาทิ Telecare บริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์แบบ Real-Time Video Call บริการเจาะเลือดที่บ้าน บริการจัดส่งยา ช่วยให้เข้าถึงบริการ ได้จากทุกที่ ง่าย สะดวก ประหยัดเวลา ไม่ต้องมาโรงพยาบาล ช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังได้รับการดูแลเหมือนมารับบริการที่โรงพยาบาล และยังมี ‘Health Up’ แอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพ สามารถเข้าไปดูผลตรวจสุขภาพ ความรู้ด้านสุขภาพ การนัดหมายแพทย์ ตลอดจนซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพได้ด้วย ซึ่งแอปพลิเคชันนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดใช้งานมากกว่า 265,000 ราย และมีผู้ใช้บริการทำนัดหมายพบแพทย์ผ่านแอปพลิเคชันแล้วประมาณ 57,000 ครั้งในรอบระยะเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาดูแลลูกค้าระบบประกันสุขภาพ (ประกันสังคม) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 600,000 กว่าคน”

               นพ.ยงยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามีแผนที่จะขยายบริการดังกล่าวต่อไปในโรงพยาบาลเครือข่ายของกลุ่ม BDMS ด้วยกัน เพื่อนำ Model เหล่านี้ไปขยายต่อ อาทิ รพ.กรุงเทพ สนามจันทร์, รพ.กรุงเทพ ดีบุก เพื่อให้คนในชุมชนได้รับบริการด้านสุขภาพที่สะดวกสบายมากขึ้น และสร้างสุขภาพที่ดีในภาพรวมได้เช่นกัน”

               เพื่อสร้างประสบการณ์การดูแลสุขภาพที่เป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล จึงจัดงาน “The New Era Of Digital Health ร่วมเป็นผู้นำสู่วิถีใหม่ของการดูแลสุขภาพยุคดิจิทัล” โชว์เคสความพร้อมด้าน Digital Healthcare และกิจกรรมต่างๆ มากมาย และไฮไลท์พิเศษจากเน็ตไอดอลศิลปินชื่อดัง ได้แก่ เบเบ้-ธันย์ชนก ฤทธินาคาวง MEAN, เอิ๊ต-ภัทรวี ศรีสันติสุข และ Season Five ที่จะหมุนเวียนมาสร้างความบันเทิงตลอดระยะเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 18 – วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2565 ณ ลาน ชั้น 3 ศูนย์การค้าสยามสแควร์ วัน ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมได้ที่https://www.facebook.com/PhyathaiHospitalFanpage/

#PHYATHAI #PAOLO #TheNewEraOfDigitalHealth

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ตอกย้ำ ผู้นำมาตรฐานคุณภาพการศึกษาด้านบริหารธุรกิจระดับโลก และเป็นศูนย์กลางสนับสนุนมหาวิทยาลัยไทยสู่เวทีนานาชาติ

 

               คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Chulalongkorn Business School (CBS) ยืนหยัดการเป็นผู้นำในมาตรฐานคุณภาพการศึกษาด้านบริหารธุรกิจระดับโลก และเป็นศูนย์กลางสนับสนุนนำทุกมหาวิทยาลัยไทยสู่เวทีนานาชาติ ซึ่งในปีนี้ CBS ได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดงาน AACSB Asia Pacific Annual Conference ประจำปี 2022 ตอกย้ำถึงมาตรฐานคุณภาพการศึกษาของ CBS ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่ง Association to Advance Collegiate Schools of Business (AACSB) เป็นองค์กรผู้จัดการประเมินมาตรฐานการศึกษาของคณะทางด้านบริหารธุรกิจ ที่ได้รับความเชื่อถือจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก โดยงานประชุมใหญ่ในครั้งนี้เป็นงานประจำปีที่จัดขึ้นในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก ในระหว่างวันที่ 14-18 พฤศจิกายน 2565

               รองศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า งาน AACSB Asia Pacific Annual Conference ประจำปี 2022 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพร่วมกับ Association to Advance Collegiate Schools of Business (AACSB) องค์กรผู้จัดการประเมินมาตรฐานการศึกษาของคณะทางด้านบริหารธุรกิจที่ได้รับความเชื่อถือจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก ซึ่งคณะบัญชีฯเป็นสถาบันหนึ่งเดียวในเอเชีย ที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานในปีนี้ โดยในงานจะเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มสมาชิก คณะที่เปิดสอนทางด้านบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกกว่าร้อยมหาวิทยาลัย ภายในงานจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก วันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2565  เป็นงานสัมมนา Assurance of Learning Seminar I เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการประเมินมาตรฐานคณะทางด้านบริหารธุรกิจ จัดขึ้นที่ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และส่วนที่สองเป็นงานสัมมนาใหญ่ ในวันที่ 16-18 พฤศจิกายน 2565 จัดขึ้นที่สามย่าน มิตรทาวน์ โดยมีหัวข้อการสัมมนาที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์การบริหารธุรกิจ และการศึกษา ในยุค Disruption โดยรองศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยร่วมเสวนาในหัวข้อ Business Schools in the Fight to Solving Wicked Problems และ Lay the Groundwork: Framing and Measuring Impact

               “การประชุมครั้งนี้ คณะบัญชี จุฬาฯจะเป็นศูนย์กลางในการสร้างเครือข่ายที่จะนำพามหาวิทยาลัยอื่นๆของประเทศไทยก้าวไปสู่เวทีระดับนานาชาติ ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการระบบการศึกษาของไทยได้รับองค์ความรู้ใหม่ๆตลอดจนแนวทางการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับบริบทสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ตามแนวทางมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ  เพื่อมาปรับใช้กับการจัดทำหลักสูตร และบริหารการศึกษาของไทยไปสู่สถาบันระดับแนวหน้าของโลกต่อไป ซึ่งนอกเหนือจากหัวข้อที่น่าสนใจภายในงานแล้ว ยังมีจัด Campus Tour โดย คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และ นิสิตจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ อีกด้วย เป็นการนำเสนอภาพลักษณ์ของคณะฯที่ไม่ใช่แค่การได้ก้าวสู่มาตรฐานระดับโลก แต่ยังเป็นหนึ่งในคณะผู้นำการศึกษาด้านบริหารธุรกิจของโลก

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

“PATTAYA GROUP” ฉลองการทะยานสู่ปีที่ 9 สุดยิ่งใหญ่ ก้าวต่อไปอย่างยั่งยืนกับ “ Pattaya Group Next to Beyond ” พร้อมเติบโตเดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

               กรุงเทพฯ, 11 พฤศจิกายน 2022 – ก้าวสู่ปีที่ 9 อย่างยิ่งใหญ่   “PATTAYA GROUP ภายใต้การนำของ  แม่ทัพใหญ่  นายทศพร อสุนีย์  ประธานบริหารกลุ่มบริษัทพัทยา จัดงาน  “Pattaya Group Next to Beyond” ประกาศจุดยืนพร้อมพัฒนาก้าวต่อไปเติบโตสู่ระดับสากล ตั้งเป้าเสริมศักยภาพองค์กร ด้วยการขับเคลื่อนการลงทุนใน 2 กลุ่มธุรกิจใหม่ผ่านการ ร่วมทุน (Joint Venture : JV) และ การควบรวมกิจการ (M&A)  เพื่อต่อยอดจากฐานธุรกิจหลักที่มั่นคง ซึ่งจะช่วยสร้าง New S-Curve ให้การขับเคลื่อนความยั่งยืนและการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบินอีกขั้น มั่นใจภายในปี 2023 กลุ่มบริษัทในเครือ รายได้รวมเติบโตเกิน 50%  ปักหมุดต่อเนื่องในปี 2025 คาดการณ์สัดส่วนกำไรของ พัทยากรุ๊ป ตั้งเป้ากำไรจาก ธุรกิจการบินไม่ต่ำกว่า 30% ธุรกิจขนส่งภายในและต่างประเทศกว่า 40% ธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม 20% และ ธุรกิจ New S-Curve อีก 10%

               นายทศพร อสุนีย์ ประธานบริหารกลุ่มบริษัทพัทยา กล่าวว่า ในปี 2015 วงการอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย ได้มีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจทางด้านการบริการภาคพื้น ณ สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อ บริษัท พัทยา เอวิเอชั่น จำกัด เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจและเติบโตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และในระหว่างการเดินทางตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ดำเนินธุรกิจ บริษัท พัทยา เอวิเอชั่น จำกัด ได้สยายปีกขยายธุรกิจ ในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบิน จวบจนปัจจุบันมีบริษัทในเครือ ทั้งสิ้น 8 บริษัทฯ ได้แก่

  • บริษัท Pattaya Aviation เป็นธุรกิจหลัก ดำเนินธุรกิจทางด้านการบริการภาคพื้นแบบครบวงจรแก่สายการบินทั้งในและต่างประเทศ
  • บริษัท Pattaya Air Cargo  ดำเนินธุรกิจทางด้านการขนส่งทางอากาศภายในประเทศ
  • บริษัท Pattaya Air Inter Cargo Solution  ดำเนินธุรกิจทางด้านการขนส่งทางอากาศต่างประเทศ
  • บริษัท Pattaya Ai Terminal   ดำเนินธุรกิจทางด้านพัฒนาระบบและเทคโนโลยีที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน
  • บริษัท Pattaya Aviation Training Center  ดำเนินธุรกิจทางด้านการอบรมและพัฒนาทักษะบุคลากรด้านการบิน 
  • บริษัท Pattaya Global Management  ดำเนินธุรกิจทางด้านการบริหารจัดการ โครงการของภาครัฐและเอกชน
  • บริษัท Pattaya Hospitality Management  ดำเนินธุรกิจทางด้านการบริหารโรงแรมและธุรกิจท่องเที่ยว
  • บริษัท Pattaya Aviation Security ดำเนินธุรกิจทางด้านการรักษาความปลอดภัย ภายในสนามบินในประเทศ 

                 และนอกจากนี้ บริษัทยังมีการปรับรูปแบบธุรกิจให้ทันสมัยมาโดยตลอด ซึ่ง Partner ล่าสุดคือบริษัท Aron Flying Ship KOREA โดยผู้บริหาร Aron : Mr.Hyun Wook CHO, ARON, Chief Executive Officer ได้มีการลงนาม ร่วมธุรกิจกับ “กลุ่มบริษัทพัทยา”   ในธุรกิจ Wing-In-Ground Effect แห่งแรกของโลก ซึ่ง ARON M-Series มีความสามารถในการบินด้วย Ground Effect ที่สามารถประหยัดเชื้อเพลิงและมีความคล่องตัวมากขึ้นและสามารถปฎิบัติงานได้ในพื้นที่จำกัด และในสภาพอากาศที่รุนแรง เพิ่มความปลอดภัยในการหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง

               ทางบริษัท ARON FLYING SHIP LTD.และ กลุ่มบริษัทพัทยา มีความมั่นใจในการที่ทางบริษัทจะสามารถนำอากาศยาน ARON M80 และเทคโนโลยีจากทางบริษัท ARON FLYING SHIP LTD เพื่อสนับสนุนปฎิบัติการช่วยเหลือสาธารณะภัยและกู้ภัยทางทะเล ว่าจะสามารถทำประโยชน์ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นในและเพิ่มความปลอดภัย เพื่อทดแทนให้กับอากาศยานที่เคยให้บริการและจะให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในอนาคต ตามนโยบายของประเทศ ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการท่องเที่ยวของประเทศและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศต่อไป

               ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมาของ “กลุ่มบริษัทพัทยา” เริ่มต้นจากการเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจในส่วนของภาคพื้น ในท่าอากาศยาน (Ground Handling Service Provider)  ซึ่งความสามารถในการขยายการเติบโตของเรา  จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาด “บุคลากร” ผู้เป็นกำลังหลักของการขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า ดังนั้นการก้าวไปข้างหน้าต่อจากนี้ เราจึงต้องเตรียมความพร้อม และ พัฒนาองค์กรให้แข็งแกร่งเพื่อก้าวสู่ในระดับสากล

               โดยในปีนี้เรามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กับก้าวสำคัญสู่ปีที่ 9 เราจึงจัด งาน Pattaya Group Next to  Beyond” ขึ้น เพื่อประกาศถึงความเข้มแข็งของกลุ่มบริษัทพัทยา รวมถึงการปรับตัวเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และเตรียมความพร้อมรับมือกับวิกฤตในอนาคต โดยที่ผ่านมากลุ่มบริษัทพัทยาได้ก้าวผ่านสถานการณ์ที่เครื่องบินจอดสนิทพร้อมกันทั่วโลก อันเนื่องมาจากสาเหตุการระบาดของ     โควิด-19  ซึ่ง กลุ่มบริษัทพัทยา ก็สามารถก้าวผ่านสถานการณ์นี้มาได้ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เรา สามารถผ่านอุปสรรคมาได้ คือ “บุคลากร” อันเป็นกำลังหลักในบริษัททุกคน สร้างความเชื่อมั่นให้ “กลุ่มบริษัทพัทยา” กล้าที่จะก้าวต่อไปในระดับสากล พร้อมร่วมมือกับ Global Partner แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อเติบโตและพัฒนาต่อไป ซึ่งเรามีบันได 4 ขั้น เป็นหลักการบริหาร ให้กับทุกบริษัทในเครือ คือ การเริ่มต้นดำเนินธุรกิจ ให้เข้าสู่มาตรฐานที่ดี รักษามาตรฐาน และสร้างมาตรฐานใหม่ ซึ่งทุกบริษัทภายในกลุ่มพัทยาเราใช้ Concept เดียวกันทั้งหมด

              และเป้าหมายในปี  2023 ที่จะถึงนี้ พัทยากรุ๊ป ตั้งเป้ารายได้โต 50% มีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมอีก 3-5 บริษัท มุ่งเน้นไปที่การขับเคลื่อนการลงทุนใน กลุ่มธุรกิจใหม่ที่เสริมศักยภาพการเติบโต โดยอยู่ระหว่าง การศึกษาหลายโครงการ ถึงกลยุทธ์เชิงรุกทางธุรกิจของพัทยากรุ๊ปในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจากรากฐานธุรกิจหลักที่มั่นคง และนอกจากจะช่วยสร้าง              New S-Curve แล้ว ยังเป็นการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนและการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบินเติบโตไปอีกขั้น ด้วยกลยุทธและเป้าหมายที่ชัดเจน

               สำหรับอีกหนึ่งก้าวสำคัญในปี 2025 เราคาดการณ์สัดส่วนและตั้งเป้าทำกำไรจาก ธุรกิจการบินไว้ที่ 30% ธุรกิจขนส่งภายในและต่างประเทศเติบโตที่ 40% ธุรกิจการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเติบโตที่ 20% และ ธุรกิจ New S-Curve อีก 10% นับเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่ของ พัทยากรุ๊ป ที่เราจะรวมพลังกันก้าวไปสู่เป้าหมายอย่างสำเร็จแน่นอน นายทศพร อสุนีย์ ประธานบริหารกลุ่มบริษัทพัทยา กล่าวปิดท้าย

              โดยบรรยากาศภายในการจัดงาน  “Pattaya Group Next to Beyond” ฉลองการก้าวทะยานสู่ปีที่ 9 อย่างยิ่งใหญ่ของ   “PATTAYA GROUP” ภายใต้การนำของ  แม่ทัพใหญ่  นายทศพร อสุนีย์  ประธานบริหารกลุ่มบริษัทพัทยา เต็มไปด้วยความอบอุ่น กับการต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากทุก Global Partner รวมถึงบุคลากรในบริษัทพัทยากรุ๊ป ที่มาร่วมแสดงความยินดีอย่างคับคั่ง  ณ อิมแพคอารีนา เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา นับเป็นการประกาศก้าวทะยานสู่ปีที่ 9 อย่างยิ่งใหญ่

GAC AION ขนที่สุดของซูเปอร์คาร์รถไฟฟ้า Hyper SSR ขุมพลัง 1,225 แรงม้า 0-100 กม.ต่อชั่วโมง ภายในเวลา 1.9 วินาที ให้ผู้ขับได้สัมผัสแรงกระชากในระดับ 1.7 G ในงาน Motor Expo 30 นี้

                 GAC AION  มาเหนือเมฆขนขุมพลังแห่งรถไฟฟ้า 100% ระดับไฮเอน Hyper SSR ด้วยขุมพลัง 1,225 แรงม้า 0-100 กม. ต่อชั่วโมง ภายในเวลา ...