วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2565

สมาชิกบางจากกรีนไมลส์รับสิทธิ์แลกซื้ออินทนิลเพียงแก้วละ 1 บาท 31 ธ.ค. 65 – 1 ม.ค. 66

 

            บางจากฯ จัดอีกหนึ่งโปรสุดปังมอบความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่  และฉลองร้านอินทนิลครบ 1,000 สาขา ให้สมาชิกบางจากกรีนไมลส์รับสิทธิ์แลกซื้อเครื่องดื่มอินทนิลในราคาแก้วละ 1 บาท  เพียงแสดงสลิปสะสมคะแนนจากการเติมน้ำมันบางจากตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป ในวันที่  31 ธันวาคม 2565  และ 1 มกราคม 2566   ณ ร้านอินทนิลทั่วประเทศที่ร่วมรายการ

            นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด   บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ทุกปี บางจากฯ จะจัดกิจกรรมเพื่อร่วมส่งมอบความสุขแก่ลูกค้าสมาชิกบางจาก โดยจัดรายการสมนาคุณต่างๆ เป็นระยะๆ ในช่วงเดือนธันวาคมต่อเนื่องไปถึงเดือนมกราคม ล่าสุดนี้จะจัดรายการสมนาคุณสุดคุ้มค่า ให้สมาชิกบางจากกรีนไมลส์นำสลิปสะสมคะแนนจากการเติมน้ำมันผลิตภัณฑ์ใดก็ได้ตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป (เฉพาะสลิปที่เติมน้ำมันในวันที่ 31 ธันวาคม 2565  และ 1 มกราคม 2566)  รับสิทธิ์แลกซื้อเครื่องดื่มอินทนิลในราคาเพียงแก้วละ  1 บาทเท่านั้น เฉพาะ  6 เมนูเครื่องดื่มเย็นยอดนิยม ได้แก่ เอสเพรสโซ่  อเมริกาโน่  โกโก้  ชาไทยลาเต้  ชาเขียวลาเต้  และชามะนาว   (1 สลิป ต่อ 1 สิทธิ) ในวันที่ 31 ธันวาคม 2565  และ 1 มกราคม 2566 วันละ 100,000 สิทธิ์ จำกัดไม่เกิน 200,000 สิทธิ์ตลอดรายการ ณ ร้านอินทนิลทั่วประเทศที่ร่วมรายการ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.bcpgreenmiles.com หรือโทร. 1651 กด 3  

สามารถสมัครเป็นสมาชิกบางจากกรีนไมลส์ ได้ง่ายๆ หลากหลายช่องทาง ได้แก่

•             Bangchak Mobile Application

•             Bangchak LINE Official Account

•             https://member.bangchak.co.th/th/register 

•             สถานีบริการน้ำมันบางจาก

•             Call Center 1651   กด 3

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2565

“กัด” อีกครั้ง กับการผจญภัยของเหล่า คุณตูบสายดาร์ก

 

          กลับมาแล้ว หลังจากโดนนายทุนคนก่อนเท จนกลายเป็นข่าวดังทั่วประเทศ วันนี้ ทั้ง 3 ทีมงานผู้สร้าง อย่างคุณเอ๋ ช่อผกา โสภิพันธ์ คุณนัท อชิรรัตน์ วรฤทธิ์ฐานันท์ และ คุณกู๊ด รัตน์รวี  วรฤทธิ์ฐานันท์ ได้เห็นถึงความตั้งใจของทีมงาน จึงทำการทาบทามผู้กำกับภาพยนตร์มือรางวัล อย่าง ตั้ม กรกรรณ ที่เคยสร้างชื่อให้กับภาพยนตร์ และ ละครมาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง ให้ดำเนินการสร้างภาพยนตร์ต่อให้จบ จากผลงานการเขียนบทภาพยนตร์ และบทประพันธ์ของ ผู้กำกับคนดังกล่าวจากเรื่องนี้ทันที

          ภาพยนตร์คุณตูบสายดาร์ก ปิดเมืองกัด เป็นภาพยนตร์น่ารัก แสนรู้ของแก๊งค์คุณตูบทั้ง 6 ตัวที่จะเข้ามาสร้างสีสัน เรื่องราวความน่ารัก จากการผจญภัยช่วยเหลือเด็กที่ถูกลักพาตัว นักแสดงเข้าร่วมความฮาขนมาเต็มพิกัด อย่าง รุ้งลาวัลย์ โทนะหงษา (หนูหิ่น อินเตอร์) เจเนท เขียว โจอี้ กาน่า ป้าแมว ดาวพระศุกร์ โทนี่ ทีเจแด๊นซ์ อู๊ด เป็นต่อ จวบ เป็นต่อ ป้อม เป็นต่อ นุกนิก ตีสิบ พัทธ์ณีตา ธนะสุนทร (น้องมายด์) นุจรี ศรีราชา  ร่วมด้วย พระเอกเทรนเกาหลี มาแรงอย่าง น้องฮวด ปัญญ์ชวิศ กิติธาราทรัพย์ และ นางเอก น้องฝ้าย ชุติรดา จันทิตย์ ที่เคยฝากผลงานมาแล้วในบทหมวยเล็ก จากภาพยนตร์เรื่อง ทองดีฟันขาว พร้อมนักแสดงสมทบอีกมากมาย และ ที่พลาดไม่ได้คือ เนตไอดอลชื่อดังอย่าง โอป้า ดัชชี่ และ อาจุมม่า เข้าร่วมแสดงด้วยพร้อมทีมพากษ์ดังระดับชั้นแนวหน้าของเมืองไทย อย่างทีม พันธมิตร เข้าร่วมให้เสียงคุณตูบในเรื่องนี้ด้วย…คุณตูบสายดาร์ก ปิดเมืองกัด เตรียมเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เครือเมเจอร์ทั่วประเทศ และ แถบเอเชียทั้งหมด 6 ประเทศ

          วันนี้คุณเตรียมปิดเมืองกัดไปกับเราทั้ง 6 ตัวแล้วหรือยัง

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2565

‘สมาคมอุรเวชช์ฯ’ ห่วงใยผู้ป่วย “โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง” พุ่ง แนะทุกรพ.กระจายยาพื้นฐานให้ทั่วถึงประชาชน

 

คนไทยเสียชีวิตจาก “โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง” ถึงปีละ 2 หมื่นราย สาเหตุของโรคเกิดจากหลายปัจจัยรุมเร้าโดยเฉพาะการสูบบุหรี่และมลพิษทางอากาศ สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทยฯ รณรงค์ประชาชนกลุ่มเสี่ยงเร่งตรวจวินิจฉัยโรคนี้ได้ แม้ยังไม่มีอาการ แนะโรงพยาบาลทุกแห่งกระจายยาสูดขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์ยาว ย้ำเป็นยาพื้นฐานการรักษาฟรีที่ผู้ป่วยต้องเข้าถึง พร้อมเปิดแอปพลิเคชัน SIMPLE COPD ช่วยเสริมความรูในการดูแลผู้ป่วยให้กับแพทย์และพยาบาลทั่วประเทศ

          สถานการณ์ผู้ป่วย “โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง” (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD)  เพิ่มสูงขึ้นทุกปี กลายเป็นภัยสุขภาพที่คุกคามชีวิตคนไทยมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ขณะที่องค์การอนามัยโลก ระบุว่าโรค COPD เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของประชากรโลก

          “สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์” มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการบริบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ตั้งแต่การวินิจฉัยรักษา สร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชนเพื่อป้องกันหยุดยั้งปัจจัยเสี่ยงและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคร้าย

รศ.นพ.กมล แก้วกิติณรงค์ สาขาวิชาอายุรศาสตร์โรคระบบหายใจและเวชบำบัดวิกฤติฯ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะกรรมการสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “โรคถุงลมโป่งพอง” นับเป็นโรคที่มีอุบัติการณ์และความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน โดยมีผู้ป่วยมากถึงประมาณ 7 แสนราย มีผู้เสียชีวิตประมาณ 20,000 รายในแต่ละปีหรือเฉลี่ยวันละ 50 ราย

          สาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งมาจากการสูบบุหรี่ โดยผู้ป่วยร้อยละ 90 มีประวัติการสูบบุหรี่นานกว่า 10 ปี และผลการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้สูบบุหรี่วันละ 1 ซอง เป็นระยะเวลานานเกิน 10 ปี (pack-year) เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค นอกจากนั้นยังมีปัจจัยเรื่องมลพิษทางอากาศ เช่น สูดดมฝุ่นละออง ควันพิษ ในที่ที่มีการถ่ายเทอากาศไม่ดี และพันธุกรรมเสี่ยง การเกิดการติดเชื้อรุนแรงในวัยเด็ก ก็เป็นต้นเหตุการเกิดโรคเช่นเดียวกัน

          ลักษณะอาการของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง คือมี ภาวะเหนื่อยง่ายขณะออกแรง ไอมีเสมหะและไอเรื้อรัง ซึ่งเมื่อป่วยเป็นโรคจะมีอาการเหล่านี้แทบทุกวัน กระทบต่อคุณภาพชีวิต  นอกจากนั้น ยังมีอาการกำเริบหนักขึ้นได้ เช่น เมื่อมีการติดเชื้อซ้ำ หรือได้รับมลพิษทางอากาศ ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลซึ่งบางครั้งก็อาจมีความรุนแรงถึงเสียชีวิตได้ นำไปสู่การสูญเสียความสามารถในการทำงาน รายได้ และทรัพยากรของประเทศ ดังนั้นการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องเหมาะสม หยุดสูบบุหรี่ และเริ่มให้การรักษาที่รวดเร็วจะช่วยลดอัตราผู้ป่วยในโรงพยาบาลและลดการเสียชีวิตได้

          “ในผู้สูบบุหรี่ 100 คน จะเป็นโรคนี้เฉลี่ยประมาณ 20 คนขึ้นกับพันธุกรรมเสี่ยง บางคนสูบบุหรี่มานาน 30-40 ปี ไม่เคยรับการตรวจเลย กระทั่งเกิดอาการเหนื่อยง่าย เมื่อมาพบแพทย์ปรากฏว่าปอดเหลือครึ่งเดียวแล้วก็มี ขณะที่ความเสี่ยงอื่นๆที่มีรายงาน เช่น การสัมผัสควันไฟในบริเวณที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หรือมีการติดเชื้อในวัยเด็กทำให้ปอดพัฒนาได้ไม่เต็มที่ เป็นต้น”

          ดังนั้น จึงต้องการรณรงค์ให้ผู้สูบบุหรี่ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง รีบมารับการตรวจวินิจฉัยปอดเพื่อดูการตีบของหลอดลมตั้งแต่เนิ่นๆ โดยสังเกตอาการดังกล่าว อย่าเพิกเฉย “ขอให้สังเกตตัวเองว่าเหนื่อยหรือไอมากขึ้นหรือไม่ เมื่อรู้แล้วต้องรีบไปตรวจวินิจฉัย จะช่วยค้นพบความผิดปกติได้เร็ว แม้เป็นโรคนี้แล้วจะไม่มีโอกาสหายขาดแต่ก็มีวิธีที่จะชะลอไม่ให้ปอดถูกทำลายมากกว่าเดิม” ซึ่งในปัจจุบัน สามารถตรวจพบโรคนี้ได้ตั้งแต่ระยะที่ผู้ป่วยยังไม่มีอาการชัดเจนด้วย และ การหยุดสูบบุหรี่มีความสำคัญมากเพื่อชะลอความเสื่อมของปอดหรือไม่ให้ปอดถูกทำลายเร็วขึ้น การสูบบุหรี่ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอื่นๆ เช่น มะเร็ง หัวใจขาดเลือด ฯลฯ ตามมาด้วย

          การรักษามาตรฐานสำหรับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีอาการ แพทย์จะให้ยาสูดเป็นหลัก เนื่องจากมีประสิทธิภาพดี มีผลข้างเคียงน้อยมาก ได้แก่ ยาสูดขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์ยาว สูด 1 ครั้งคุมอาการได้ตลอดวัน ลดความยุ่งยาก และปัจจุบัน ผู้ป่วยทุกรายทุกสิทธิ์การรักษาไม่ต้องเสียค่ายาอีกด้วย แต่ปัญหาที่พบคือการกระจายยาไม่ทั่วถึง ยังมีเฉพาะโรงพยาบาลในระดับจังหวัดขึ้นไป ทำให้ประชาชนหลายพื้นที่เข้าไม่ถึงยา ทั้งที่ยาชนิดนี้เป็นพื้นฐานการรักษาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ฟรีในผู้ป่วยทุกราย จึงควรมีในทุกโรงพยาบาล

          นอกจากยาสูดขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์ยาวแล้ว ยังมียาอื่นๆที่แพทย์ปรับให้ผู้ป่วยตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย รวมถึงการรักษาแบบไม่ใช้ยาก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ได้แก่ การฝึกออกกำลัง ฝึกการหายใจที่ถูกต้อง และรับวัคซีนป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับปอด ทั้งโรคโควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนป้องกันเชื้อปอดอักเสบ

          นพ.กมล กล่าวอีกว่า คนในครอบครัวต้องมีความเข้าใจ ช่วยกันดูแลแบบองค์รวมให้มีกำลังใจ เสริมการออกกำลังกาย สารอาหารที่เหมาะสมเพื่อฟื้นฟูตัวเอง ดูแลตัวเองหรือเดินได้ระดับหนึ่ง ไม่สร้างภาระมากไป ไม่เช่นนั้นก็จะมีโรคอื่นแทรกซ้อนโดยเฉพาะโรคซึมเศร้า การขาดการออกกำลังกาย ขาดสารอาหารที่เพียงพอในผู้ป่วยกลุ่มนี้ ยิ่งทำให้ร่างกายโดยรวมอ่อนแอลง กล้ามเนื้อลีบ เดินไม่ได้มากขึ้น ส่งผลให้ปัญหาซับซ้อนยิ่งขึ้น  

          ทั้งนี้ สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทยฯ ได้จัดกิจกรรมรณรงค์และเผยแพร่ความรู้ให้แก่ประชาชน ผู้ป่วยและผู้ดูแล เนื่องใน “วันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังโลก” (World COPD Day)เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา มีการจัดหน่วยตรวจสมรรถภาพปอดสัญจรไปยังโรงพยาบาลที่ไม่สามารถตรวจสมรรถภาพปอดได้ นำทีมโดย นพ.ขจร สุนทราภิวัฒน์ ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีจาก โรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก โรงพยาบาลพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ โรงพยาบาลวิเชียรบุรี และโรงพยาบาลหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ทำให้ผู้ป่วยมากกว่า 214 รายได้รับการวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้องและรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป

ขณะเดียวกัน คณะอนุกรรมการกลุ่มโรคหลอดลม สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทยฯยังพัฒนาแอปพลิเคชัน “SIMPLE COPDเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ดูแลผู้ป่วยอย่างง่าย สะดวก และถูกต้อง เริ่มตั้งแต่การประเมินโรค การเลือกยารักษา การปรับยา การใช้อุปกรณ์พ่นสูด และคำแนะนำอื่นๆ ที่จำเป็น หลังจากเปิดใช้แอปพลิเคชันเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2565 ปัจจุบันมียอดผู้ใช้งานกว่า 500 คน ทั้งแพทย์และพยาบาลยอมรับถึงศักยภาพการเป็นช่องทางเรียนรู้ให้แก่โรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดต่างๆ เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการจัดทำวิดีโอสั้นให้ความรู้กับประชาชน ในการสังเกตอาการและปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเมื่อต้องอยู่กับโรค เผยแพร่ผ่านช่อง YouTube ของสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทยฯ

          สำหรับฤดูหนาวที่มาเยือนประเทศไทยขณะนี้ นพ.กมล แนะนำว่า ช่วงที่สภาพอากาศมีฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้นทำให้เกิดการกำเริบของโรคได้ จึงขอให้ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังโดยเฉพาะผู้สูงวัย ให้ระมัดระวังตัวเอง เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงควรหลีกเลี่ยงออกไปรับฝุ่นภายนอกในช่วงที่มี PM2.5 สูง ซึ่งหลายครั้งเป็นในช่วงเช้า แม้จะใส่หน้ากากอนามัยก็ไม่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กมากได้

          นอกจากนั้น ขอเตือนไปถึงกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ เช่นผู้ได้รับควันบุหรี่มือสองหรือควันที่พ่นออกมาหรือควันจากปลายมวนบุหรี่เป็นประจำ คนในครอบครัวและสตรีมีครรภ์ต้องระวังมาก ควรหลบเลี่ยงและดูแลสุขภาพให้ดี รวมทั้งผู้นิยมสูบบุหรี่ไฟฟ้าตามกระแสที่อ้างว่าปลอดภัย ใส่รสกลิ่นใหม่ๆ กลับทำให้เสพติดง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้สูบรายใหม่ที่เป็นวัยรุ่นและผู้หญิง มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นตัวทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบรุนแรงถึงเสียชีวิตได้เช่นเดียวกัน

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2565

‘เบทาโกร’ เดินหน้าลงทุนประเทศในอาเซียน รุกขยายฐานการผลิตด้วยมาตรฐานสากล

 

               กรุงเทพฯ – 19 ธันวาคม 2565 – เบทาโกร บริษัทอาหารชั้นนำระดับสากล (World-class Branded Food Company) เปิดวิสัยทัศน์การลงทุน วางเป้าขยายฐานการผลิตประเทศในอาเซียน หลังมองเศรษฐกิจโลกปีหน้ายังมีปัจจัยกระทบ เน้นยกระดับปริมาณการเลี้ยง ทั้งสุกรพันธุ์ สุกรขุน ไก่เนื้อ และไก่ไข่ให้มีคุณภาพ เร่งขยายฐานการผลิตอาหารสัตว์ในกัมพูชาและลาว พร้อมมั่นใจแบรนด์เบทาโกรได้รับการตอบรับอย่างดี ผลิตภัณฑ์มีนวัตกรรมและคุณภาพสูงเทียบเท่าไทย

 นายวรวุฒิ วณิชกุลบดี
ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ-กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG

               นายวรวุฒิ วณิชกุลบดี ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ-กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เปิดเผยว่า การลงทุนและการขยายตลาดในต่างประเทศอย่างรอบคอบและประเมินความเสี่ยงตลอดเวลาเป็นกลยุทธ์สำคัญของ BTG เพราะคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2566 ที่อาจชะลอตัวลงในตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่ในภูมิภาคอาเซียนยังมีโอกาสกลับมาเติบโตได้อีกครั้งหลังเปิดประเทศรองรับการลงทุนและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ตรงนี้นับเป็นโอกาสที่น่าสนใจมาก ที่ผ่านมา BTG ประสบความสำเร็จในการลงทุนและทำตลาดทั้งในกัมพูชา และลาวอย่างต่อเนื่อง เป็นหนึ่งในผู้นำที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกระดับผ่านช่องทางธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่และมีพันธมิตรธุรกิจระดับท้องถิ่นที่แข็งแกร่ง พร้อมเติบโตในเชิงเศรษฐกิจ ควบคู่กับการดูแลคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้บริโภคในภูมิภาค

               “ด้วยศักยภาพธุรกิจอาหารและเกษตรอุตสาหกรรมครบวงจร พร้อมประสบการณ์การลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่เชี่ยวชาญมายาวนานกว่าทศวรรษ กลุ่มธุรกิจต่างประเทศของเบทาโกร มองเห็นโอกาสขับเคลื่อนวิสัยทัศน์และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อขยายฐานการผลิตและช่องทางการตลาดช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่ง BTG เราจะดำเนินการอย่างมียุทธศาสตร์ มีแผนรองรับที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงปศุสัตว์ การแปรรูป และเบทาโกรช็อป ทั้งหมดคือโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภค ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีคุณภาพสูงตอบโจทย์ความต้องการในอนาคต ด้วยศักยภาพทางธุรกิจและกำลังการผลิตที่ขยายตัว”

               ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม-กันยายน) กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ มีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการรวม 4,511 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการดำเนินธุรกิจในกัมพูชาซึ่งมีอัตราการเติบโตที่สูงมาก ซึ่งเป็นการดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท เบทาโกร (กัมพูชา) จำกัด มีโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ในกรุงพนมเปญ และฟาร์มปศุสัตว์ สุกร และสัตว์ปีก รวม 331 แห่ง มีแผนที่จะก่อสร้างโรงงานอาหารสัตว์แห่งที่สองในกัมพูชา การลงทุนฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์ ฟาร์มสุกรขุน ฟาร์มไก่พ่อแม่พันธุ์ และโรงชำแหละสุกร, ไก่เนื้อ เพิ่มกำลังการผลิตสุกรได้ประมาณ 0.8 ล้านตัว และไก่ประมาณ 12.7 ล้านตัวต่อปี ภายในปี 2569

               ขณะที่ในลาว ดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อยในนาม บริษัท เบทาโกร (ลาว) จำกัด ทำฟาร์มสุกร ฟาร์มสัตว์ปีก จำนวน 134 แห่ง และร้านเบทาโกรช็อป 5 แห่ง ตั้งอยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์ 3 แห่ง หลวงพระบาง 1 แห่ง และจำปาสัก 1 แห่ง มีแผนลงทุนก่อสร้างโรงงานอาหารสัตว์แห่งแรกกำลังการผลิต 72,000 ตันต่อปี ฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์แห่งใหม่ และลงทุนในโรงชำแหละสุกรและไก่สามสายพันธุ์ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ให้สามารถผลิตไก่ประมาณ 3.0 ล้านตัวต่อปี และสุกรประมาณ 0.2 ล้านตัวต่อปี ภายในปี 2569 เช่นกัน

               ในส่วนเมียนมานั้น ช่วงที่ผ่านมาได้ดำเนินการในลักษณะกิจการร่วมค้ากับพันธมิตรท้องถิ่นนำเข้าพ่อแม่พันธุ์สุกร,เวชภัณฑ์ยาสัตว์, ผลิตภัณฑ์อาหาร รวมทั้งอาหารสัตว์เลี้ยงจากไทยเป็นหลัก แม้เมียนมาจะเป็นหนึ่งในตลาดอาเซียนที่น่าสนใจ แต่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบและพิจารณาอย่างรอบด้านมากที่สุด

               นายวรวุฒิ กล่าวอีกว่า การลงทุนในทุกประเทศ เบทาโกรได้ให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องคุณภาพ การกำกับดูแลทุกขั้นตอนตลอดห่วงโซ่การผลิต ซึ่งต้องได้มาตรฐานระดับสากล (World-Class) ตามเจตนารมณ์หลักใน 4 ด้าน ได้แก่ 1. Food Quality & Safety ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหารตามมาตรฐานสากลเช่นเดียวกับไทย 2. Social Development ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานและพัฒนาคนในพื้นที่ให้เติบโตไปด้วยกัน นำความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้มาร่วมพัฒนาเกษตรกร 3. Good Governance ส่งพนักงานจากไทยไปประจำที่กัมพูชา ลาว และเมียนมา เพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรร่วมกัน ขณะเดียวกันก็นำเทคโนโลยีทันสมัยที่ทำให้สามารถติดตาม วิเคราะห์ข้อมูล และผลการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 4. Alliance and Partnership สร้างคุณค่า และผลประโยชน์ร่วมกันกับพันธมิตรธุรกิจในท้องถิ่น

               นอกจากนั้น ในระยะยาว บริษัทฯ ยังมีแผนจะขยายการดำเนินงานในประเทศอื่นๆ ที่เป็นตลาดที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย จีน และเวียดนาม โดยยังคงมุ่งเน้นการเป็นพันธมิตรกับธุรกิจท้องถิ่น เพื่อประโยชน์อันเกิดจากความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ และความมุ่งมั่นในการสร้างการเจริญเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ทั้งในประเทศเพื่อนบ้าน และระดับภูมิภาคต่อไป

เกี่ยวกับบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)

               เบทาโกร เป็นผู้ประกอบธุรกิจอาหารและเกษตรอุตสาหกรรมครบวงจรชั้นนำในประเทศไทย โดยครอบคลุมตั้งแต่การผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ ปศุสัตว์ ผลิตภัณฑ์เนื้อหมู เนื้อไก่ และไข่ไก่ อาหารแปรรูปที่เกี่ยวข้อง และอาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงการจัดจำหน่ายอุปกรณ์ฟาร์ม และการดำเนินงานด้านการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทฯ มีรูปแบบการทำธุรกิจแบบครบวงจร (Vertically Integrated Business Model) ที่ครอบคลุมในหลายด้านของห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ (Value Chain) ตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การเพาะเลี้ยง และจำหน่ายพ่อแม่พันธุ์สัตว์ การทำฟาร์มเชิงพาณิชย์ การชำแหละและการแปรรูปเนื้อสัตว์ ไปจนถึงการขาย โรงงานผลิตและแปรรูปอาหารที่มีมาตรฐานสูงและมีประสิทธิภาพของบริษัทฯ ตลอดจนความสามารถในการวิจัย และระบบควบคุมภายในของบริษัทฯ ซึ่งคอยติดตามและควบคุมทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่าของอาหาร ทำให้บริษัทฯ สามารถควบคุมคุณภาพและบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและปลอดภัย โดยมีการใช้มาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) และการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด ตามมาตรฐาน สากลซึ่งเป็นที่ยอมรับ

               ติดตามข่าวสารล่าสุดของเบทาโกรได้ที่Facebook Betagro GroupLinkedIn Betagro GroupYouTube Betagro Group และ  www.betagro.com



GAC AION ขนที่สุดของซูเปอร์คาร์รถไฟฟ้า Hyper SSR ขุมพลัง 1,225 แรงม้า 0-100 กม.ต่อชั่วโมง ภายในเวลา 1.9 วินาที ให้ผู้ขับได้สัมผัสแรงกระชากในระดับ 1.7 G ในงาน Motor Expo 30 นี้

                 GAC AION  มาเหนือเมฆขนขุมพลังแห่งรถไฟฟ้า 100% ระดับไฮเอน Hyper SSR ด้วยขุมพลัง 1,225 แรงม้า 0-100 กม. ต่อชั่วโมง ภายในเวลา ...